ห่วงโซ่สัมพันธ์ ไทย - ฉัน - ญี่ปุ่น
ผู้เขียน นางสาวภาวิตา สิทธิเวช
สวัสดีค่ะ พี่ได้รับทุนจากโครงการ Kizuna Project ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่น
โดยมีเยาวชนประมาณ 10,000
คนจากทวีป เอเชีย โอเชียเนีย และ อเมริกาเหนือ ได้รับโอกาสให้ร่วมโครงการระยะสั้นและระยะยาว
ของพี่จะเป็นโครงการระยะสั้นค่ะ โดยโครงการนี้ให้เยาวชนได้ไปศึกษาเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและการฟื้นฟูของท้องถิ่นที่ประสบภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น
ตั้งแต่วันที่ 3-13
มีนาคม 2556 โดยทางสถานทูตจะมีการทดสอบนักเรียน โดยจะรับคัดเลือกนักเรียนทุกคนที่เป็นเด็กม.ปลาย และแบ่งการสอบออกเป็น 3 กลุ่ม คือ เด็กสายศิลป์ญี่ปุ่นในโรงเรียนของสังกัด
สพฐ. (ทั่วประเทศ) จำนวน 8 ทุน (มีนักเรียนมาสอบสายนี้เยอะมากๆเลยค่ะ)
เด็กจากโปรแกรมวิทย์-คณิตที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นสาระเพิ่มจากโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย
(ทั่วประเทศ) จำนวน 6 ทุน
และ กลุ่มของพี่ คือ กลุ่มเด็กวิทย์-คณิตที่เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นสาระเพิ่ม
จากโรงเรียนมาตรฐานสากล (ทั่วประเทศ) จำนวน 5 ทุน ซึ่งกลุ่มที่
2,3 สามารถเขียนความเรียงและสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษได้
แต่ว่ากลุ่มที่ 1 ต้องเขียนความเรียงและสัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้นค่ะ
กำหนดการเดินทางเริ่มเดินทางวันที่ 3 มีนาคม 2556 ค่ะ ตอนแรกทางโครงการก็นัดให้ไปรวมกันที่โรงแรมก่อนเพื่อแบ่งกลุ่มและประชุม
ส่วนใหญ่จะอธิบายเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันที่ญี่ปุ่นค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ทิชชู่ของเขาสามารถ
flush
(กดทิ้งในชักโครก) ได้เลย หรือการขึ้นบันไดเลื่อน
ทั่วไปต้องชิดซ้ายค่ะ ส่วนด้านขวาจะไว้สำหรับคนที่รีบ พี่อยู่กลุ่ม A โดยมีอาจารย์เบญจลักษณ์และพี่อีกหนึ่งคน
ช่วงวันที่ 3-5 มีนาคม 2556 พวกพี่ได้รับฟังบรรยายเกี่ยวกับโปรแกรมที่จะต้องทำ
การใช้ชีวิตในญี่ปุ่น
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพความเสียหายและสภาพการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อปี
พ.ศ.2554
จังหวัดที่พวกพี่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในช่วงวันที่
6-11
มีนาคม 2556 คือ ตำบลเทนเอ จังหวัดฟุคุชิมะ ซึ่งหลายๆคนก็อาจจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดใช่ไหมคะ
และที่จังหวัดฟุคุชิมะก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก มีผู้เสียชีวิตราว 2,300 คน หายสาบสูญ ราว 45 คน และได้รับบาดเจ็บอีกราว 180 คน
และเนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้น
ผลเสียหายตามมานอกจากชีวิตของชาวบ้านที่นั่น พวกสินค้าต่างๆที่ได้ชื่อว่า
“มาจากจังหวัดฟุคุชิมะ” ต่างก็ขายไม่ออก
ผู้บริโภคไม่ต้องการซื้อเพราะกลัวสารกัมมันตรังสีที่ตกค้างในสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ผลผลิตทางเกษตรอื่นๆ เรื่องการท่องเที่ยว พอได้ยินคำว่า
“จังหวัดฟุคุชิมะ” ใครๆก็ไม่อยากไป ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก
นอกจากจะส่งผลเสียกับภาคเศรษฐกิจแล้ว จิตใจของชาวบ้านในจังหวัดฟุคุชิมะต่างก็ย่ำแย่มากค่ะ
พวกพี่มีโอกาสได้รับฟังประสบการณ์ตรงจากชาวบ้านจากเมืองอิตาเตะ ทุกคนที่เมืองอิตาเตะเป็นคนชอบช่วยเหลือ
อาชีพหลักของชาวบ้านคือ เกษตรกร เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ประมาณ 30 กิโลเมตร พอเกิดเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดก็ได้อพยพมาที่นี่
คนที่มาเล่าประสบการณ์ครั้งนี้ให้ฟัง คือ คุณลุงมิวะ เดิมท่านมีอาชีพทำการเกษตร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้น ปัจจุบัน
ท่านจึงยังไม่มีอาชีพ ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนเกิดแผ่นดินไหว ท่านอยู่กับภรรยาและลูกๆ
การเกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้แรงมาก ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน โชคดีที่เมืองอิตาเตะอยู่ที่สูงเลยไม่ได้รับผลกระทบจากสึนามิ
หลังเกิดเหตุการณ์ ก็มีญาติๆย้ายมาอยู่ที่บ้านของคุณลุง
แต่พอได้ข่าวว่าพบสารกัมมันตรังสีในน้ำประปาจึงรีบย้ายออกไป
โดยที่คุณลุงไม่ทราบว่า พวกเขาย้ายไปที่ไหน ในบ้านของคุณลุงจึงเหลือเพียง คุณลุงมิวะ
ภรรยาของท่าน และลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายคนโตของคุณลุงเสียชีวิต
และลูกอีกคนนึงก็ทำงานที่ฟุคุชิมะ แต่ทว่าหลังจากนั้นลูกสะใภ้ของคุณลุงเกิดไม่สบายเลยต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล
ส่วนพวกท่านก็ย้ายหนีไปอยู่กรุงโตเกียว แต่อยู่ได้ประมาณ 10 วันก็คิดถึงบ้านเกิดจึงย้ายกลับมาและได้มาอาศัยอยู่ที่ตำบลเทนเอ
และได้มีโอกาสไปอยู่สถานีลี้ภัย ท่านรู้สึกประทับใจมาก
เพราะได้รับความช่วยเหลืออย่างดี ท่านอยากขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ
พอท่านได้รับอนุญาตให้กลับไปยังเมือง อิตาเตะได้
ท่านพบว่าวิถีชีวิตแตกต่างสมัยก่อนมาก สิ่งที่ท่านกังวลก็คือ
เยาวชนและเด็กๆจะกลับมาหรือไม่ ส่วนเรื่องการประปา การไฟฟ้า ไม่ค่อยมีปัญหา และพวกเราได้มีโอกาสคุยกับคุณซาโนะ
อาสาสมัครที่คอยดูแลผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในบ้านพักชั่วคราว ปัจจุบันมีผู้อาศัยที่บ้านพักชั่วคราว
ราวๆ 200 คน หรือประมาณ 115 ครัวเรือน แต่ส่วนใหญ่
แต่ละครัวเรือนจะมีคนชราพักอยู่คนเดียวหรือสองคน ทำให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกของคนแก่
ลักษณะของสมาชิกในครอบครัวนั้นจะมี 3 รุ่น
ได้แก่ รุ่นคุณปู่-คุณย่า รุ่นคุณพ่อ-คุณแม่ และรุ่นลูก
แต่เพราะต้องหนีภัยจากภัยพิบัติ สมาชิกครอบครัวได้กระจายกันออกไป
เหล่าคนชราเลยรู้สึกเหงามากเพราะขาดสมาชิกในครอบครัว แต่ก็พยายามอดทน
ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้าลูกหลานก็ตาม
บางทีที่บ้านพักชั่วคราวก็จะมีกิจกรรมให้นักเรียนในระดับชั้นต่างๆมาเยี่ยมเยียน
พวกเขาก็รู้สึกดีใจมาก บางคนก็มีน้ำตาที่ไหลออกมาจากใจเนื่องจากความซาบซึ้ง
เนื่องจากคุณซาโนะเป็นประธานในการดูแลผู้ที่มาพักในบ้านพักชั่วคราว เธอก็พยายามหากิจกรรมให้ทำ
ทุกคนก็มีความสุขตลอดเวลาที่ทำกิจกรรม แต่พอตอนกลับไปอยู่ที่บ้าน บางคนก็นอนไม่หลับ
เลยเกิดโรคที่เกี่ยวกับภาวะทางจิตใจเพิ่มขึ้น ที่บ้านพักก็มีนักข่าวมาทำรายการข่าวเหมือนกัน
แต่เหล่าคนชราก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสในการอธิบาย
ส่วนเด็กๆก็อธิบายรายละเอียดไม่ค่อยได้ พวกเขาอยากให้รู้ว่ากัมมันตภาพรังสีนั้น
น่ากลัวมากแค่ไหน ชาวบ้านทุกคนได้แต่หวังว่า ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้นอีก
บทเรียนที่ทุกคนได้รับจากการระเบิดในครั้งนี้คือ เดิม
พวกเราแสวงหาแต่เงินและความสะดวกสบายมากเกินไป
ต่อไปพวกเขาก็จะทบทวนว่าวิถีชีวิตจริงๆนั้นเป็นอย่างไร ส่วนทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้วางแผนเพื่อฟื้นฟูจังหวัดต่างๆที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวและ
สึนามิในครั้งนี้ เช่น การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่น
หน้าที่หลักของพวกเขาคือ นำน้ำประปาไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน
และช่วยในเรื่องของการกู้ชีพต่างๆ สิ่งที่ยากในการปฏิบัติงานในครั้งนี้คือ
ทุกคนต่างก็ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องการช่วยชีวิตจากระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ทำให้ต้องมีการวางแผน คิดว่าวิธีต่างๆเพื่อให้ทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากหน้าที่ในการกู้ชีพแล้ว พวกเขาก็มีหน้าที่ในการทำความสะอาดเพื่อเอาสารกัมมันตรังสีออกจากสิ่งแวดล้อม
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ถนน สายต่างๆ แต่ก็ทำความสะอาดได้ค่อนข้างยาก
เพราะสารกัมมันตรังสีก็มีตกค้างในฝุ่น หรือดินที่ชาวบ้านไว้ใช้ทำการเกษตร
ทางรัฐบาลจึงหาวิธีการในการกำจัดสารกัมมันตรังสี หรือสาร ซีเซียม (Cs) โดยอาศัยสารเคมีต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน ในอากาศบริเวณนี้
มีค่าของสารกัมมันตรังสีที่น้อยมากๆค่ะ และไม่ส่งผลเสียแก่ร่างกายแน่นอน และผลผลิตทางการเกษตรของตำบลเทนเอมีความสะอาด
ปลอดภัย ไม่ทำลายสุขภาพ และโดยเฉพาะข้าวที่มีความอร่อยมากๆ
เพราะก่อนที่จะมีเหตุระเบิด ได้มีการประกวดข้าวที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปี
ข้าวของเทนเอนั้นได้รับเหรียญทองถึง 3 เหรียญติดต่อกัน
(พี่ขอการันตีว่า ข้าวของเทนเอ อร่อยมากๆค่ะ)
แต่หลังจากเหตุระเบิดคนก็ไม่ค่อยอยากซื้อ พวกเราจึงได้มีโอกาสออกแบบถุงข้าวสารให้ชาวบ้าน
และเป็นเครื่องหมายการันตีว่า คนไทยได้มารับประทานข้าวของตำบลเทนเอ
และข้าวนี้เป็นข้าวที่ปลอดภัยอย่างแน่นอนค่ะ ที่พี่กล้าพูดได้ขนาดนี้
เพราะทางตำบลได้มีการซื้ออุปกรณ์ที่สามารถวัดสารกัมมันตรังสีในอาหาร
และผลที่ได้จากการตรวจสอบนั้น พบว่า ผลผลิตทางการเกษตรของพวกเขาปลอดภัยแน่นอนค่ะ
พี่เลยอยากเชิญชวนน้องๆว่า ถ้าได้มีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วไปเที่ยวที่จังหวัดฟุคุชิมะ
ให้น้องๆสบายใจได้เลยว่าที่นั่นทั้งสะอาดและปลอดภัย
สินค้าทุกชนิดได้รับการตรวจสอบจากเครื่องวัดสารกัมมันตภาพรังสีมาแล้วอย่างดี
ข้าวของที่นั่นก็อร่อยมาก ซื้อกลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัยอย่างดีเลยค่ะ แล้วน้องๆจะติดใจ :)
ข้าวของที่นั่นก็อร่อยมาก ซื้อกลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้ผู้ประสบภัยอย่างดีเลยค่ะ แล้วน้องๆจะติดใจ :)










